วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

10อันดับ เกมส์บนiPhone!!! *0*

อันดับที่ 1Angry Birds
ต้องบอกก่อนเลยว่าถ้าใครไม่รู้จัก เจ้าเกมส์นี้คงเรียกว่าเชยมั่กๆฮะ เพราะมันฮิต และมันส์มากพะยะค่ะ ฮาฮา ใครเป็นเจ้าของไอโฟน ผมแนะนำเจ้าเกมส์นี้เป็นอันดับแรกเลย การเล่นนั้นไม่อยาก ลองซัก2-3 ครั้ง คุณก็จะเลนเป็นแล้วละ สนราคาถูกเวอร์ ที่ $0.99. ถูกเวอร์ *0*


อันดับที่ 2TETRIS
เจ้าเกมส์สุดคลาสสิค ที่คนทั้งโลกรู้จักแน่นอน แต่ในเวอร์ชั่น ไอโฟนกลับมาโหมดพิเศษ จะพิเศษยังไงต้องลองโหลดมาเล่นครับ สนนราคาที่ $4.99 ไม่แพงเลยครับ -0-

อันดับที่ 3Doodle Jump
สุดยอดอีกเกมส์ที่ ง่ายๆแบบซิมเปิ้ลๆ แต่ สนุกอย่างเหลือเชื่อ สาวกไอโฟนมีติดเครื่องกันแทบทุกราย เล่นกันแทบทั้งวัน จะสนุกยังไงต้องลองด้วยตัวเองครับ ^^" สนนราคาที่ $0.99. ถูกเวอร์

อันดับที่ 4 Peggle
เจ้าเกมส์ที่ดูภาพ ง่ายๆ ห่วยๆ แต่สนุกมาก ต้องลองๆ สนนราคา $4.99.

อันดับที่ 5 Grand Theft Auto: Chinatown Wars
ไม่ต้องอธิบายกันมาก หรือไม่ต้องอธิบายกันเลย เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักเกมส์นี้อย่างแน่นอนครับ มาในเวอร์ชั่น iphone สนนราคาที่ $9.99.

อันดับที่ 6 Zen Bound
en Bound เป็นเกมลักษณะ puzzle แนวใหม่ที่มีการผสมผสานความสงบและการฝึกสมาธิเข้าไปในเกมด้วย โดยในเกมผู้เล่นจะต้องทำการพันเชือกรอบวัตถุที่กำหนดมาให้ได้พื้นที่ในการ พันได้มากที่สุด ตัวเกมมีการใช้รูปแบบของ 3D ที่สวยงามบวกกับเพลงประกอบในเกมที่มีลักษณะสงบและผ่อนคลายจากศิลปิน Ghost Monkey จึงทำให้ผู้เล่นเกิดความรู้สึกสนุกสนานควบคู่ไปกับความสงบและเข้าถึง ธรรมชาติไปในเวลาเดียวกัน สนนราคา $4.99

อันดับที่ 7 Rolando 2: Quest for the Golden Orchid
ป็นที่รอคอยกันนานพอสมควรสำหรับเกม Rolando 2 และในที่สุดเกมนี้ก็ออกจำหน่ายใน App Store เกมๆนี้ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเรื่องราคาที่สูงถึง 9.99 เหรียญซึ่งแพงกว่าภาคแรกอยู่ถึง 4 เหรียญ (Rolando ภาคแรกราคา 4.99 เหรียญ) ความแปลกใหม่เด่นๆของ Rolando 2 นี้คือตัวเกมจะออกมาในรูปแบบภาพเครื่อนไหวแบบ 3 มิติที่จะให้ความงดงามของภาพแล้ว ยังให้ผู้เล่นได้เล่นกับตัวละครที่เพิ่มขึ้น ทักษะพิเศษและอาวุธชนิดใหม่ๆ ยานพหนะที่เพิ่มเติมเข้ามา สุดท้ายยังได้เพิ่มปริศนา puzzle มาอีกเป็น 46 ด่านด้วยกัน การบังคับนั้นยังคงเดิมที่จะต้องใช้การควบคุมด้วยการเอียงเครื่อง iPhone และการปัดหน้าจอเพื่อกระโดด สำหรับใครที่ยังไม่เคยเล่นเกมนี้นั้น จุดมุ่งหมายของเกมคือ การนำพาเหล่า Rolando ไปยังประตูทางออก หลีกเลี่ยงอุปสรรคต่างๆด้วยการกลิ้งโดยเอียงเครื่อง iPhone หรือ iPod Touch ผู้เล่นสามารถผสมผสานการเล่นด้วยการใช้เครื่องช่วยดีดและเครื่องหมุน เหล่า Rolando มีมากมายหลายชนิด และแต่ละชนิดนั้นมีทักษะการเล่นที่ต่างกันที่ผู้เล่นจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้เกมดำเนินต่อไป ถือเป็นความท้าทายอย่างนึงของเกมๆนี้ทีเดียว


อันดับที่ 8 Fruit ninja
เกมส์ Fruit Ninja เป็นเกมส์ที่ใช้นิ้ว คอยตัดผลไม้ที่ลอยอยู่ให้ผ่าครึ่งพอดี ถ้าตัดพร้อมกันหลายลูก จะได้คะแนนพิเศษเพิ่มขึ้นมา มีขายที่ร้าน App Store ราคาเกมส์ละ $0.99

อันดับที่ 9 Plants Vs Zombies
สร้างพืชมาสู้กับผีซอมบี้ ไม่ให้มาตีบ้านเราได้ เป็นเกมส์แนว Defend สนนราคา $2.99.

อันดับที่ 10 N.O.V.A – Near Orbit Vanguard Alliance
เกมส์ดังที่หลายท่านรอคอยจากค่าย LOFT ลงสนามต่อสู้ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ด้วยความยากง่าย ตั้งแต่เล่นคนเดียวจนถึง 4 คน ด้วยกัน ผ่าน Bluetooth หรือ WiFi มี อาวุธให้ใช้ได้ 6 อย่าง Assault rifle, shotgun, sniper rifle, handgun, rocket launcher and plasma gun, plus grenades & machine gun turrets in certain levels และภาพกราฟฟิก สวยงาม ดังนั้นจะช้าอยู่ใยสำหรับคอเกมส์ ราคา $6.99 ที่ App Store


เป็นยังไงกันบ้างครับ กับ10 อันดับ เกม ที่ผู้เล่นมากที่สุดใน IPhone ผมก็หวังว่าข้อมูลนี้นี้คงมีประโยนช์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ มีIphone แล้วกำลังหาเกมส์สนุกๆเจ๋งๆเอาไว้เล่นแก้เบื่อ ลองพาเกมพวกนี้ไปเล่น แล้วคุณจะติดใจ : )




ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ คืออะไร


    ฐานข้อมูล คือ ชุดของสารสนเทศที่มีโครงสร้างสม่ำเสมอ ชุดของสารสนเทศใด ๆ ก็อาจเรียกว่าเป็นฐานข้อมูลได้ถึงกระนั้น คำว่าฐานข้อมูลนี้มักใช้อ้างถึงข้อมูลที่ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์และถูกใช้ส่วนใหญ่เฉพาะในวิชาการคอมพิวเตอร์ บางครั้งคำนี้ก็ถูกใช้เพื่ออ้างถึงข้อมูลที่ยังมิได้ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์เช่นกันในแง่ของการวางแผนให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ได้

ประวัติ
       ฐานข้อมูลในลักษณะที่คล้ายกับฐานข้อมูลสมัยใหม่ถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในทศวรรษ 1960 ซึ่งผู้บุกเบิกในสาขานี้คือ ชาลส์ บากแมน แบบจำลองข้อมูลสำคัญสองแบบเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งเริ่มต้นด้วยแบบจำลองข่ายงาน(พัฒนาโดย CODASYL) และตามด้วยแบบจำลองเชิงลำดับชั้น (นำไปปฏิบัติใน IMS) แบบจำลองทั้งสองแบบนี้ ในภายหลังถูกแทนที่ด้วย แบบจำลองเชิงสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับแบบจำลองอีกสองแบบ แบบจำลองแบบแรกเรียกกันว่า แบบจำลองแบนราบ ซึ่งออกแบบสำหรับงานที่มีขนาดเล็กมาก ๆ แบบจำลองร่วมสมัยกับแบบจำลองเชิงสัมพันธ์อีกแบบ คือ ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ หรือ โอโอดีบี3 (OODB)
       ในขณะที่แบบจำลองเชิงสัมพันธ์ มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีเซตได้มีการเสนอแบบจำลองดัดแปลงซึ่งใช้ทฤษฎีเซตคลุมเครือ (ซึ่งมีพื้นฐานมาจากตรรกะคลุมเครือ) ขึ้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
       ปัจจุบันมีการกล่าวถึงมาตรฐานโครงสร้างฐานข้อมูลเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลต่างระบบให้สืบค้นรวมกันเสมือนเป็นฐานข้อมูลเดียวกันและการสืบค้นต้องแสดงผลตรงตามคำถามมาตรฐานดังกล่าวได้แก่ XML RDF Dublin Core Metadata เป็นต้น และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลรหว่างต่างหน่วยงานได้ดี คือการใช้ Taxonomy และ อรรถาภิธาน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการความรู้ในลักษณะศัพท์ควบคุมเพื่อจำกัดความหมายของคำที่ใช้ได้หลายคำในความหมายเดียวกันระบบจัดการฐานข้อมูล
       ซอฟต์แวร์สำหรับจัดการฐานข้อมูลนั้นโดยทั่วไปเรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ ดีบีเอ็มเอส (DBMS - Database Management System) สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ของดีบีเอ็มเอสอาจมีได้หลายแบบ เช่น สำหรับฐานข้อมูลขนาดเล็กที่มีผู้ใช้คนเดียว บ่อยครั้งที่หน้าที่ทั้งหมดจะจัดการด้วยโปรแกรมเพียงโปรแกรมเดียว ส่วนฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้จำนวนมากนั้นปกติจะประกอบด้วยโปรแกรมหลายโปรแกรมด้วยกันและโดยทั่วไปส่วนใหญ่จะใช้สถาปัตยกรรมแบบรับ-ให้บริการ (client-server)
       โปรแกรมส่วนหน้า (front-end) ของดีบีเอ็มเอส (ได้แก่ โปรแกรมรับบริการ) จะเกี่ยวข้องเฉพาะการนำเข้าข้อมูลการตรวจสอบและการรายงานผลเป็นสำคัญในขณะที่โปรแกรมส่วนหลัง (back-end) ซึ่งได้แก่ โปรแกรมให้บริการจะเป็นชุดของโปรแกรมที่ดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุมการเก็บข้อมูลและการตอบสนองการร้องขอจากโปรแกรมส่วนหน้า โดยปกติแล้วการค้นหาและการเรียงลำดับ จะดำเนินการโดยโปรแกรมให้บริการ รูปแบบของระบบฐานข้อมูล มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน นับตั้งแต่การใช้ตารางอย่างง่ายที่เก็บในแฟ้มข้อมูลแฟ้มเดียวไปจนกระทั่งฐานข้อมูลขนาดใหญ่มากที่มีระเบียนหลายล้านระเบียนซึ่งเก็บในห้องที่เต็มไปด้วยดิสก์ไดรฟ์หรืออุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รอบข้าง (peripheral) อื่น ๆ

การออกแบบฐานข้อมูล
       การออกแบบฐานข้อมูล (Designing Databases) มีความสำคัญต่อการจัดการระบบฐานข้อมูล (DBMS) ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของข้อมูลโครงสร้างของข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลและกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียกใช้ฐานข้อมูล ดังนั้นเราจึงสามารถแบ่งวิธีการสร้างฐานข้อมูลได้ 3ประเภท
       1. รูปแบบข้อมูลแบบลำดับขั้นหรือโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical data model) วิธีการสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นถูกพัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็ม จำกัด ในปี1980 ได้รับความนิยมมาก ในการพัฒนาฐานข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และขนาดกลางโดยที่โครงสร้างข้อมูลจะสร้างรูปแบบเหมือนต้นไม้โดยความสัมพันธ์เป็นแบบหนึ่งต่อหลาย (One- to -Many)
       2. รูปแบบข้อมูลแบบเครือข่าย (Network data Model) ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายมีความคล้ายคลึงกับฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นต่างกันที่โครงสร้างแบบเครือข่าย อาจจะมีการติดต่อหลายต่อหนึ่ง (Many-to-one) หรือหลายต่อหลาย (Many-to-many) กล่าวคือลูก (Child) อาจมีพ่อแม่ (Parent) มากกว่าหนึ่ง สำหรับตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเครือข่ายให้ลองพิจารณาการจัดการข้อมูลของห้องสมุดซึ่งรายการจะประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ที่อยู่ ประเภท
       3. รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล (Relation data model) เป็นลักษณะการออกแบบฐานข้อมูลโดยจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางที่มีระบบคล้ายแฟ้ม โดยที่ข้อมูลแต่ละแถว (Row) ของตารางจะแทนเรคอร์ด (Record) ส่วนข้อมูลนแนวดิ่งจะแทนคอลัมน์ (Column) ซึ่งเป็นขอบเขตของข้อมูล (Field) โดยที่ตารางแต่ละตารางที่สร้างขึ้นจะเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีการวางแผนถึงตารางข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้เช่นระบบฐานข้อมูลบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยตารางประวัติพนักงาน ตารางแผนกและตารางข้อมูลโครงการ แสดงประวัติพนักงาน ตารางแผนก และตารางข้อมูลโครงการ

การออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
       การออกแบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดเล็กเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานอาจเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากนัก เนื่องจากระบบและขั้นตอนการทำงานภายในองค์กรไม่ซับซ้อน ปริมาณข้อมูลที่มีก็ไม่มาก และจำนวนผู้ใช้งานฐานข้อมูลก็มีเพียงไม่กี่คนหากทว่าในองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งมีระบบและขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนรวมทั้งมีปริมาณข้อมูลและผู้ใช้งานจำนวนมาก การออกแบบฐานข้อมูลจะเป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการดำเนินการนานพอควรทีเดียว ทั้งนี้ฐานข้อมูลที่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานภายในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรได้ ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานขององค์กรมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลภายในองค์กรทั้งนี้การออกแบบฐานข้อมูลที่นำซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูลมาช่วยในการดำเนินการสามารถจำแนกหลักในการดำเนินการได้ ขั้นตอน คือ
       1. การรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการในการใช้ข้อมูล
       2. การเลือกระบบจัดการฐานข้อมูล
       3. การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด
       4. การนำฐานข้อมูลที่ออกแบบในระดับแนวคิดเข้าสู่ระบบจัดการฐานข้อมูล
       5. การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพ
       6. การนำฐานข้อมูลไปใช้และการประเมินผล

การออกแบบฐานข้อมูลในระดับตรรกะ
       การออกแบบฐานข้อมูลในระดับตรรกะ หรือในระดับแนวความคิดเป็นขั้นตอนการออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในระบบโดยใช้แบบจำลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์ซึ่งอธิบายโดยใช้แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (E-R Diagram) จากแผนภาพ E-R Diagram นำมาสร้างเป็นตารางข้อมูล (Mapping E-R Diagram to Relation) และใช้ทฤษฏีการ Normalization เพื่อเป็นการรับประกันว่าข้อมูลมีความซ้ำซ้อนกันน้อยที่สุด

หน่วยความจำเสมือน virtual Memory คือ ??

  
มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Virtual Memory คืออะไร ขออธิบายแบบง่าย ๆ ลองนึกภาพว่าหากเรามีหน่วยความจำหรือ RAM ใส่อยู่ในครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง เช่น 32MB. เมื่อใช้งาน Windows จริง ๆ แล้วการทำงานองWindows หรือระบบซอฟต์แวร์จะต้องทำการโหลดข้อมูลทุก ๆ อย่างไปเก็บไว้ในหน่วยความจำหรือ RAM ก่อนแล้วซีพียูจึงจะทำการประมวลผลจากข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วเฉพาะ Windows อย่างเดียวก็กินพื้นที่ของ RAM ไปมากพอแล้ว นอกจากนั้นยังต้องมีพื้นที่สำหรับการเก็บข้อมูลและรับโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์อื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นRAM ขนาด 32MB. ย่อมไม่พอใช้งานแน่นอนแต่ใน Windows ก็มีระบบการจัดการกับ RAM ที่มีจำนวนน้อยนิดนี้ได้โดยจะทำการเขียนข้อมูลต่าง ๆ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้งานในขณะนั้นลงเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ชั่วคราวก่อน เมื่อต้องการใช้งานข้อมูลในส่วนนี้จึงจะทำการอ่านขึ้นมาใช้งานโดยจะทำการอ่านและเขียนแบบนี้สลับกันไปตามความต้องการใช้งานของข้อมูลเราเรียกการทำงานแบบนี้ว่าการทำ Swap File ซึ่งจะทำให้เราสามารถรันซอฟต์แวร์ที่มีขนาดใหญ่ ๆ หรือรันซอฟต์แวร์พร้อม ๆ กันหลาย ๆ ตัวได้
         ในระบบ Windows ที่ทำการติดตั้งแบบมาตราฐานทั่ว ๆ ไป การตั้งค่าจำนวนของฮาร์ดดิสก์ที่จะสำรองไว้สำหรับทำ Swap File นี้จะถูกจัดการโดย Windows ซึ่งจะทำการปรับเปลี่ยนขนาดของ Swap File อัตโนมัติตามขนาดของหน่วยความจำหรือจำนวนพื้นที่ที่ต้องการรันซอฟต์แวร์ในขณะนั้น นอกจากนี้เรายังสามารถทำการกำหนดขนาดของ Swap File ที่ว่านี้ให้มีขนาดคงที่จำนวนหนึ่งได้ด้วยโดยหากทำการกำหนดขนาดของ Swap File ให้คงที่แล้ว Windows ก็จะใช้งานไฟล์ในขนาดที่ได้ทำการกำหนดไว้แล้วเท่านั้น

ข้อเปรียบเทียบการกำหนด
 Swap File ทั้ง แบบ

การกำหนด 
Swap File โดยอัตโนมัติจาก Windows
         1. ไฟล์จะมีขนาดเปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ ทำให้ Windows สามารถใช้งานพื้นที่ทั้งหมดของฮาร์ดดิสก์มาเป็นSwap File ได้
         2. เมื่อไฟล์มีการปรับเปลี่ยนขนาดอยู่ตลอดเวลาจะทำให้การจัดเรียงข้อมูลของไฟล์บนฮาร์ดดิสก์กระจัดกระจายไม่ต่อเนื่อง
         3. การอ่านและเขียนข้อมูลของ Swap File จะทำได้ช้าลงเพราะไฟล์มีการกระจายมากขึ้น

การกำหนด 
Swap File ให้มีค่าคงที่
         1. ไฟล์จะมีขนาดคงที่ ทำให้เรากำหนดและคำนวนการใช้งานฮาร์ดดิสก์ที่เหลือได้
         2. ข้อมูลของไฟล์จะไม่กระจายมากนัก เพราะจะใช้พื้นที่เดิม ๆ ที่ได้กำหนดขนาดไว้แล้วในการเก็บข้อมูล
         3. การอ่านและเขียนข้อมูลของ Swap File จะเร็วขึ้นเพราะไฟล์มีการกระจายน้อยลง

วิธีการตั้ง 
Swap File หรือ Virtual Memory
         วิธีการตั้งการใช้งาน Virtual Memory ทำได้โดย เริ่มต้นจากการเรียก Control Panel โดยกดเลือกที่ Start menu >> Settings และเลือกที่ Control Panel เลือกที่เมนูของ System คลิกที่ป้าย Performance เลือกที่ Virtual Memory จะได้หน้าตาดังรูปที่เมนูของ Virtual Memory มีความหมายดังนี้
         Let Windows manage... เลือกตรงนี้ถ้าต้องการให้ Windows จัดการ virtual memory อัตโนมัติ
         Let me specify my own... เลือกที่นี่ ถ้าต้องการกำหนดขนาดของ virtual memory เป็นค่าคงที่เอง
         Harddisk เลือกฮาร์ดดิสก์ที่ต้องการทำ Virtual Memory หรือ Swap File
         Mimimun กำหนดขนาดต่ำสุดของ Swap File
         Maximum กำหนดขนาดสูงสุดของ Swap File
         Disable virtual memory คือการกำหนดให้ไม่ใช้ virtual memory (จะใช้ RAM จริง ๆ เท่านั้น)

         หลักการกำหนดขนาดของ virtual memory ควรจะกำหนดให้ minimum และ maximum มีขนาดเท่ากันเพื่อให้ Swap File มีขนาดคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยขนาดที่แนะนำให้ใช้คือ ถ้าเครื่องมีแรมอยู่น้อยกว่า 64M ควรใส่เป็น 128 แต่ถ้าเครื่องมีแรม 128M หรือมากกว่านี้ควรใส่เป็น 256 โดยประมาณและนอกจากนี้ ควรเลือกฮาร์ดดิสก์ตัวที่มีความเร็วมากที่สุดสำหรับทำ Swap File เพื่อเพิ่มความเร็วในการใช้งาน Windows หลังจากที่ใส่ค่าตามต้องการแล้วก็กด OK จะมีเมนูยืนยันการเลือกอีกครั้งก็กด Yes และเมื่อปิดหน้าจอของการเลือก Windows จะต้องทำการRestart ใหม่ครั้งหนึ่ง การตั้งค่าต่าง ๆ จึงจะมีผล
         เราสามารถดูขนาดของ Swap File ได้โดยที่เมื่อกำหนดแล้วโดยจะเห็นเป็นไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ชื่อ Win386.swpซึ่งหากลบทิ้งไป Windows ก็จะทำการสร้างขึ้นมาใหม่โดยอัตโนมัติ

ข้อแนะนำเพิ่มเติมของการทำ 
Virtual Memory
         การตั้ง Virtual Memory คือการจำลองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์มาใช้งานแทน RAM ดังนั้นถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุดจะต้องหาทางทำให้พื้นที่ที่กำหนดให้เป็น Swap File เป็นพื้นที่ที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ตัวที่มีการอ่านเขียนข้อมูลได้เร็วที่สุดมาดูหลักการต่าง ๆ ของการกำหนดใช้ virtual memory ที่ถูกต้องว่ามีอะไรบ้าง

พื้นที่ส่วนไหนของฮาร์ดดิสก์ที่มีการอ่านเขียนได้เร็วที่สุด
         ลองนึกภาพฮาร์ดดิสก์ 1 ตัวที่มีจานดิสก์เป็นรูปวงกลมหมุนอยู่ด้วยความเร็วสูงและมีหัวอ่านที่เคลี่อนย้ายไปมาเพื่ออ่านหรือเขียนข้อมูล จะเห็นได้ว่าในการหมุนของจานดิสก์ รอบ พื้นที่ข้อมูลที่อยู่รอบนอกสุดจะสามารถอ่านได้จำนวนมากกว่าพื้นที่ที่อยู่ด้านในของจานฮาร์ดดิสก์ ดังนั้นหากเราสามารถกำหนดให้ Swap File อยู่ในส่วนของพื้นที่นอกสุดได้มากเท่าไรอัตราการอ่านเขียนข้อมูลก็จะทำได้เร็วมากขึ้นในการแบ่งฮาร์ดดิสก์ให้มีหลาย ๆ พาร์ติชัน การใช้งานพื้นที่ของพาร์ติชันแรกจะอยู่นอกสุดและพาร์ติชันถัดไป จะใช้พื้นที่ส่วนที่อยู่รอบในถัดเข้ามาเรื่อย ๆ

กรณีที่มีฮาร์ดดิสก์ 
ตัว
         หากใครมีฮาร์ดดิสก์ต่ออยู่ ตัว ก็เป็นไปได้ที่จะกำหนดให้ใช้พื้นที่ส่วนนอกสุดของฮาร์ดดิสก์ตัวที่ มาทำเป็นVirtual Memory เพราะว่าจะเป็นส่วนสามารถอ่านเขียนข้อมูลที่เร็วที่สุดทั้งนี้จะใช้ได้ในกรณีที่ฮาร์ดดิสก์ทั้ง ตัวมีความเร็วพอ ๆ กันด้วย ถ้าหากฮาร์ดดิสก์ตัวที่ เป็นฮาร์ดดิสก์เก่าหรือมีความเร็วช้ากว่าตัวแรกก็แนะนำให้ไปทำในฮาร์ดดิสก์ตัวแรกดีกว่า

จะแบ่งพาร์ติชัน สำหรับทำ 
virtual memory ต่างหากไปเลย
         บางคนบอกว่าถ้าอย่างนั้นจัดการแบ่งพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ให้เป็นหลาย ๆ พาร์ติชันและตั้งให้ทำ Virtual Memory หรือ Swap File ในพาร์ติชันที่แบ่งไว้โดยเฉพาะไปเลยจะดีไหม ก่อนอื่นต้องมาดูกันก่อนว่าการแบ่งพาร์ติชันนั้น ในพาร์ติชันแรกจะใช้พื้นที่นอกสุดของฮาร์ดดิสก์และพาร์ติชันถัดไปก็จะใช้พื้นที่ในส่วนรอบในของจานฮาร์ดดิสก์เข้าไปเรื่อย ๆ ดังนั้นสรุปว่าพาร์ติชันแรกสุดของฮาร์ดดิสก์จะมีอัตราการอ่านเขียนข้อมูลได้เร็วที่สุดหากจะแบ่งพาร์ติชันสำหรับทำ Swap File ในพาร์ติชันแรกก็เป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากคิดจะแบ่งพาร์ติชันและเก็บการทำSwap File ไปไว้ในพาร์ติชันถัดไปอันนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักเพราะความเร็วการอ่านเขียนข้อมูลของพาร์ติชันถัดไปนี้จะช้ากว่าการอ่านเขียนข้อมูลของพาร์ติชันแรกในเรื่องนี้ ขอแนะนำว่าไม่มีความจำเป็นถึงขนาดนั้นเพียงแต่ว่าถ้าหากมีฮาร์ดดิสก์แค่ตัวเดียวก็ให้ทำ Swap File ไว้ในพาร์ติชันแรกของฮาร์ดดิสก์ตัวนั้นก็เพียงพอแล้ว

การใช้โปรแกรมบางประเภท ทำการย้าย 
Swap File มาไว้ส่วนแรกสุดของฮาร์ดดิสก์
         จะมีซอฟต์แวร์บางตัวเช่น Norton Speed Disk มีความสามารถในการย้ายส่วนของ Swap File มาไว้ในส่วนแรกสุดของฮาร์ดดิสก์เพื่อการเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้นอันนี้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ Virtual Memory ได้ ซึ่งเท่าที่ทราบมาโปรแกรม Defrag ของ Windows ไม่มีความสามารถในส่วนนี้